มิกกี้

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนอนพิสูจน์ศพ




กล้วยหอม

กล้วยหอม


กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส(sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหารมันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที
เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาทีไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก(เคยเห็นในสนามเทนนิส..พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ)ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์
ป้องกันโรคภัย และภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกัน
1.โรคเศร้าซึมจากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีมพบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอมเพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotoninสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น
2.โรค pms (premenstrual syndrome) สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่ายไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯรีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย.....มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........
3.โรคโลหิตจาง (Anemia)ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า...(โรคนี้ผมเป็นบ่อย ๆ.....หุ...หุ...)
4.ความดันโลหิต (Blood Pressure)กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะเป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administrationอนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ ยงความดันได้จริง
5.เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power) ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham schoolอ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช ้ารวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่นเขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื ่นตัวอยู่เสมอ
6.อาการท้องผูก (Constipation)เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี
7.อาการเมาค้าง (Hangovers)วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้ว ยหอมปั่น banana milkshakeโดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วยด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือดและทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็ วขึ้น.......
8.จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว
9.Morning Sicknessไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่ นไม่อยากจะตื่นบ้าง....ฯลฯถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็นมันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้
10.บรรเทาแผลยุงกัดก่อนที่จะใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัดจะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ
11.ระบบประสาท (Nerves)วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด.. .
12.อ้วนจากทำงานมากเกินไปที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่าความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเ ต้โต้ชิปส์มากเกินไปทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นจากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.. มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก
13.แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผ ล (Ulcers)สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้นรวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะลดการเป็นแผลในกระเพาะได้
14.ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อนผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็ นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่งอย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล ้วยหอมเป็ นประจำเพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น......so cool....
15.ลดความอยากสูบบุหรี่สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียมที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสา รนิโคติน
อ้อ...แถมท้ายอีกอย่างหนึ่งรองเท้าหนังถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไปเลยเสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก....รองเท้าจะมันแผล็บเลย..

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แมลงที่ใช้ในการชันสูตรศพ




การใช้แมลงในการพิสูจน์ศพในประเทศไทยรายแรกได้ใช้วิเคราะห์ ศพที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้มีการตีพิมพ์ ใน The First Documented Forensic Entomology Case in Thailand และมีการทดลองนิติเวชกีฏวิทยาระดับการวิจัย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เป็นครั้งแรก เมื่อ กรกฎาคม พ.ศ. 2546โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรวรรณ อมรศักดิ์อาจารย์ ภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับ ยุตนันท์ จำปาเทศ นิสิตภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเมื่อยังไม่นานนี้ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็ได้ทำการศึกษาชนิดของสัตว์ขาปล้องในซากหมูและการประยุกต์ใช้ในทางนิติเวชซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง การใช้แมลงในการสืบสวนคดีอาชญากรรม เรียกอย่างหนึ่ง อาชญานิติเวชกีฏวิทยา (Medicrocriminal Forensic Entomology) การสืบหาระยะเวลาหลังการตาย (Post Mortem Interval หรือ PMI) หรือข้อมูลต่าง ๆ นั้น ต้องเก็บหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุซึ่งอาจเป็นไข่ของแมลง ตัวอ่อน หนอน ดักแด้ หรือตัวเต็มวัยของแมลงก็ได้ จากนั้นนำมาแบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 นำมาใช้ประมาณ PMI โดยดูจากอายุของแมลงที่พบบริเวณศพที่มีอายุมากที่สุด
ส่วนที่ 2 นำไปเลี้ยงจนเป็นตัวเต็มวัยเพื่อให้แน่ใจว่าจำแนกชนิดถูกต้อง
ส่วนที่ 3 นำไปตรวจวิเคราะห์ DNA เพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น
การเจริญเติบโตของหนอนที่พบในศพ เป็น ตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ เมื่อตายหรือหัวใจหยุดเต้น ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการตายตามธรรมชาติ เกิดการเน่าสลายตัวและอาจเกิดการเจริญเติบโตของหนอนที่พบในศพในช่วงระยะเวลาประมาณ 3-4 วันหลังจากตาย ซึ่งการเจริญเติบโตของหนอนที่พบในศพ อาจจะเป็นตัวช่วยบ่งบอกระยะเวลาการตายของผู้ตายได้เป็นอย่างดี
การเจริญเติบโตของหนอนที่พบในศพ แพทย์นิติเวชและพนักงานสอบสวนจะต้องทราบว่าชนิดของตัวหนอนที่พบในศพนั้น เป็นตัวหนอนของแมลงชนิดใด การรู้ถึงชนิดของแมลงและตัวหนอนจะช่วยทำให้ทราบได้ว่าแมลงชนิดนั้นเจริญเติบโตมานานเท่าใด และใช้ระยะเวลากี่วันจึงจะเจริญเติบโต ซึ่งเป็นการช่วยบอกระยะเวลาการตายในทางอ้อมได้ แมลงวัน เป็นแมลงที่พบได้มากที่สุดในการเป็นตัวหนอนที่พบบนศพที่ยังไม่แห้ง ในประเทศไทย เคยมีผู้ศึกษาทางด้านแมลงพบว่า ตัวอ่อนจะฟักออกจากไข่ใช้ระยะเวลาประมาณ 24 ชม.หลังจากนั้น ตัวอ่อนหนอนแมลงวันจะโตเป็นตัวอ่อนระยะที่1-3ช่วงตัวยาวประมาณ 1 – 1.5 เซนติเมตรในระยะเวลาประมาณ 7 วัน และจะเริ่มคลานยั้วเยี้ยไต่รอบ ๆ ศพ แต่ถ้าพบหนอนแมลงวันในระยะสุดท้ายหนอนแมลงวันอาจจะเจริญเติบโตและยาวขึ้นได้อีกเพียงเล็กน้อย และจะอยู่นิ่งเฉยไม่ค่อยคลานเนื่องจากอยู่ในช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นดักแด้ และเริ่มเปลี่ยนเป็นดักแด้ในวันที่ 8 และการสังเกตตัวแก่ที่สุดของแมลงว่าเป็นชนิดใดอาจจะช่วยบอกเวลาการตายได้