มิกกี้

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของการเดิน


การเดิน..เป็นวิถีธรรมชาติของร่างกาย..ที่ธรรมชาติประทานมาให้แต่กำเนิด ผู้ใดหลงลืมธรรมชาติด้วยการเดินน้อย กินมาก ร่างกายก็มักจะไม่ปลื้ม อยากกินมากนักเหรอเจอ..อ้วนซะเลย นั่งมากใช่ไหม..พุงโตเกินเกณฑ์ ไม่ชอบเดินเอาแต่นั่งๆนอนๆ.. เจ้าจะได้นอนตลอดไป เป็นของแถม แบบไหนที่ชอบร่างกายจัดให้..เบาหวาน ความดัน หัวใจ กระดูกเสื่อม แต่หากใครเดิน น้อยแต่ออกกำลังกายบ้าง..เช่นวันเว้นวัน ร่างกายก็ยังพออภัย เนี่ย..คือ..สิ่งที่ธรรมชาติจัดให้...ตามการกระทำหรือที่ภาษานัก วิชาการเรียกว่า...ตามพฤติกรรมที่เราทำ..ทำแบบไหนได้แบบนั้นเลย

เรามาดูนักวิชาการพูดกันบ้าง ดร.บุษบา สงวนประสิทธ์ จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวไว้ในหนังสือ เล่มน้อยของกรมอนามัย เรื่อง เดิน เดิน วันละน้อย แล้วชีวิตจะเปี๊ยนไป๋ ที่จัดพิมพ์ไว้เมื่อ 2548 ว่า..
“การออกกำลังที่ถูกต้องและ เพียงพอเป็นปัจจัยที่ช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคไร้เชื้อ หรือโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็งบางชนิด กระดูกบางหรือผุ ภูมิแพ้ และช่วยลดความวิตกกังวล ทำให้สุขภาพจิต คุณภาพชีวิตและชีวิตสังคมดีขั้น”

ชัดเจนว่า..ถ้าไม่ออกกำลังกาย หรือใช้ชีวิตอย่างคืนสู่ธรรมชาติโรคทั้งหลายที่อาจารย์บุษบาว่ามา คุกคามเราแน่..โดยเฉพาะ เรื่องของความดันโลหิตสูงที่เราพูดต่อเนื่องกันมาตลอด พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย...เพื่อเป็นการป้องโรคโดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูงมิให้มาเยือน เรามาเดินกันเถอะ เพราะว่าการเดินเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดแล้ว เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ต้องหาอุปกรณ์เสริมให้เสียเงินเสียทอง ที่ไหนๆ ก็ทำได้ ความปลอดภัยสูง ไม่ต้องเขิน ในคนที่ไม่เคยออกกำลังหรือเริ่มใหม่ๆบางคน เขินอายที่จะออกกำลังกายก็จะสบายขึ้น

คนที่รู้ตัวแล้วว่าป่วยหรือมีความดันโลหิตสูง ก็ไม่ต้องกังวลเพราะว่าการเดินเป็นการออกกำลังกายที่เราสามารถควบคุมความเร็วให้ เหนื่อยมากเหนื่อยน้อยได้สะดวกด้วยตัวเราเอง เพี่อความแน่ใจคนที่เป็นความดันโลหิตสูงอยู่จะถามหมอประจำตัวดูก่อนก็ได้ว่า “ เดินออกกำลังกายได้หรือไม่” และถ้าไม่มีโรคประจำตัว ก็ต้องรู้ตัวว่าไม่ได้ออกกำลังกายมานานกี่ปีแล้ว ถ้านานปีมากก็ต้องเริ่มจากน้อยๆ ก่อน แนะนำง่ายๆ อย่างนี้นะ

วันที่ 1-7 เดินสัก 3,000 – 4,000 ก้าว หรือ 1 กิโลเมตร
(คำนวนว่า 1 เมตรเดินได้ 3-4 ก้าว)
วันที่ 8-14 เดินสัก 5,000- 6,000 ก้าว หรือ 1.5 กิโลเมตร
วันที่ 15-21 เดินสัก 7,000 - 8,000 ก้าวหรือ 2 กิโลเมตร

ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ อย่างนี้จะทำให้ร่างกายค่อยๆปรับตัว ปรับความแข็งแรงขึ้นโอกาสของความดันโลหิตสูงจะสูงขึ้นก็จะน้อยลง ความดันโลหิตที่สูงอยู่ก็จะค่อยๆ ปรับลง แต่องค์ประกอบสำคัญเรื่องการไม่กินหวาน มัน เค็ม และไม่กินมาก รวมถึงคุมอารมณ์ อย่าให้เครียดไว้ด้วย แต่ที่แน่ๆ ถ้าท่านเดินทุกวัน ก็ชวนลูกชวนหลานไปเดิน ครอบครัวก็จะอบอุ่น เจอเพื่อนๆ ที่เห็นหน้ากัน ประจำก็พูดคุย ทักทาย สูดอากาศ และเห็นธรรมชาติบ้าง ปัญหาอื่นๆ ก็จะลดตามไปด้วย นี่เป็นการ ออกกำลังกายแบง่ายๆ แต่ได้ของกำนันกลับคืนมา



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากศูนย์การเรียนรู้สุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ


วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำทับทิมป้องกันสมองเสื่อม


มุมสุขภาพ-กินดี’ สรรหาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมาปิดท้ายให้เข้าธีมของสัปดาห์ที่ว่ากันถึง ‘อาการสมองเสื่อม’ ซึ่งสามารถป้องกันด้วย ‘ทับทิม’ ผลไม้มากคุณค่า สีสันสวยงาม โดยคุณพล ตัณฑเสถียร ฟู้ดสไตลิสต์คนดัง สร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มแก้วเก๋ ชื่อ ‘Red Shooter’…

ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง

นอกจากทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก มีทั้ง
แตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วย

สรุปส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ....

  • ทับทิม
  • แตงโม
  • มะนาว
  • ส้ม
  • สับปะรด


ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่ ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที.


ข้อควรรู้เกี่ยวกับเนื้อร้าย 15 ประการ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับเนื้อร้าย 15 ประการ
1. ทุกคนมีเซลล์เนื้อร้ายอยู่ในร่างกาย เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่องมือทางการแพทย์จนกว่าจะมีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์ หากไปพบหมอ แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์เนื้อร้ายในร่างกายหลังจากการตรวจ นั่นแค่หมายความว่าเครื่องมือทางการแพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์เนื้อร้ายได้ เนื่องจากขนาดของเซลล์เนื้อร้ายยังไม่มากพอ หรือขนาดยังไม่ใหญ่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ
2. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์เนื้อร้ายก็จะถูกทำลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์เนื้อร้ายขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย
3. เมื่อคนไข้ถูกบ่งชี้ว่าเป็นเนื้อร้าย แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด โภชนาการไม่ดี กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม อาหาร หรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต
4. การเอาชนะเซลล์เนื้อร้าย สามารถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์เนื้อร้าย คือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์เนื้อร้ายจำเป็นต้องนำไปใช้อาหารที่เซลล์เนื้อร้ายต้องการ
6. น้ำตาล เช่นน้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลเทียมเช่น Equal ให้ใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ใช้ในปริมาณที่น้อยมาก และเกลือมีสารจำเป็นที่เซลล์เนื้อร้ายนำไปใช้ ควรงด หรือทานในปริมาณน้อย
7. นม ควรดื่มน้ำนมถั่วเหลืองทดแทน
8. เซลล์เนื้อร้าย เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพที่เป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์มีแบคทีเรียใช้ฮอร์โมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นเนื้อร้าย
9. 80% ของผักและน้ำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญญาพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและน้ำผลไม้สดจะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เพราะเอนไซม์จะถูกทำลายที 40c
10. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ชอคโกแลต ที่มีคาเฟอีนสูง เปลี่ยนเป็นชาเขียวที่มีสารต้านเนื้อร้าย ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปาแบะเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่มีสภาพเป็นกรด
11. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมดจะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง
12. เซลล์เนื้อร้ายมีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์เนื้อร้ายได้ง่ายขึ้น
13. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์เนื้อร้าย เช่นวิตามินอี วิตามินซี
14. เซลล์เนื้อร้าย เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ ขมขื่น หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรักและให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชิวิต
15. เซลล์เนื้อร้ายไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึก ๆ จะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์เนื้อร้าย

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พ่อหลวงของเรา



























ในพระจริวัตรของท่าน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พระองค์ ท่านจะเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของพระองค์ท่านอยู่เป็นประจำ> โดยเฉพาะชาวบ้านต่างจังหวัดจะโชคดีกว่าเรานักที่ได้มีโอกาส่ ชื่นชมพระบารมีของในหลวงได้ใกล้ชิดและบ่อยครั้งกว่าคนใน กรุงเทพมากนัก จึงมีเรื่องของในหลวงมาเล่าให้ฟัง ฟังแล้วเชื่อว่าทุกคนจะต้องอมยิ้มกันทุกคนแน่ เรื่องที่ 1. วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของ > > ท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวง > > มากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระ บาทหลวงที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบ พระบาทแล้วก็เอามือของแก่มาจับพระหัตถ์ของในหลวง > > แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่า > > ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรง > > เฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็ มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย > > หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิง > > ชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ > > พระองค์ทรงตรัสว่า " เรียกว่ายายได้อย่างไร > > อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก " > > > > เรื่องที่ 2. พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยม > > เยียนชาวบ้าน และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มา > > เข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า > > " แขนเจ็บไปโดนอะไรมา " ชายคนนั้นตอบว่า " ตก สะพาน " แล้วในหลวงทรบรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้าง หนึ่งละ " ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า " แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลง ไปด้วย ตกข้างเดียว " ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล > > > > เรื่องที่ 3. พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ > > ทางภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดิน > > เป็นกรด มีความเค็ม พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้านที่ มาเฝ้ารับเสด็จว่า " ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม " > > ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนตอบกลับมาว่า > > " ไม่เคยชิมซักที " ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ > > ตามเสด็จว่า " ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ "

4. ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุด แห่งนึง มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯคนปัจจุบัน บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร ในหลวงทรงตรัสว่า "ไม่เป็นไรหรอก หากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้ หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง)ก็ได้" ท่านพูดเสียงเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลย พูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก เคยมีคนถามผมว่า นับถือใครมากที่สุด คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ ในหลวง ท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้า ยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์ ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่ 5.เราจับได้แล้ว ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ....ครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ "ก้าวไกลไทยทำ" วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538"The BOI Fair 1995 commemorates the 50th Anniversary of His Majesty King Bhumibol Adulyadej's reign" (Board of Investment Fair 1995 BOI)หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถตามศาลาการแสดงต่างๆ ก็มาถึงศาลาโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์) ภายในศาลาแต่งเป็น "พิภพใต้ทะเล" โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด "Magic Vision" น้ำลึก 20,000 league จะมีช่วงให้แลเห็นสัตว์ทะเลว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็กๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า ถ้าใครจับปลาได้เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์ พวกเราไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับไ ม่ได้ เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า "เราจับได้แล้ว" พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ "อยู่ในนี้" ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้ บริษัทโซนี่จึงต้องน้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้...6. หมึกไม่ออก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อนงค์รัตน์ สุขุม ........วันที่ 19 กรกฎาคม 2526 เป็นวันพระราชทางปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่นายกสโมสรอาจารย์จะเป็นผู้ดูแลถวายปากกาให้ทรงลงประปรมาภิไธย แต่ในปีนั้น ดิฉันในฐานะอุปนายกสโมสรอาจารย์ได้รับหน้าที่นี้แทน ก่อนจะเสด็จประราชดำเนิน เราก็ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะปากกาลองกันหลายครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่พอเสด็จฯ มาถึงท่านก็ทรงลงประปรมาภิไธย ปรากฏว่าทรงจรดปากกาลงไปแล้วแต่ไม่มีหมึกออกมา เราก็ตกใจมากเลย ไม่รู่จะทำยังไงดี นึกในใจว่าเป็นความบกพร่องของเราแน่ๆ ลองมากไปจนหมึกหมด ดิฉันก็เลยถวายกระดาษทิชชูเปล่าๆ ที่อยู่ในมือให้ท่าน เพื่อจะให้ท่านทรงเช็ดปากกา แต่ท่านทรงพระเมตตามากเลย สีพระพักตร์ที่ท่านมองดิฉันเหมือนกับจะตรัสว่า "ไม่ต้องตกใจ" แล้วก็ทรงนำปากกามาลองที่มือดิฉันที่มีกระดาษทิชชู่ ปรากฏว่าหมึกออก จากนั้นก็ทรงหันไปลงพระปรมาภิไธยในสมุด พอท่านเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามาดูกระดาษที่ทรงลองปากกาแผ่นนั้นกันใหญ่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ บอกว่า"พี่ๆ ขอหน่อยเถอะพี่ จะเอาไปเป็นมงคล" ก็เลยแบ่งให้อาจารย์ไปส่วนหนึ่ง...7. ทุกข์ยามดึกพลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ ผู้อำนวยสำนักงานโครงการพระดาบส อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข .....การที่ได้ทรงพระกรุณารับฟัง และติดต่อทางวิทยุตำรวจเป็นประจำ จึงทรงทราบความลำบาก ความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ตำรวจประจำตู้ยามบางคนคับแค้นใจ เกี่ยวกับปัญหาครอบครัวปัญหาการครองชีพ เมื่อเสพสุราแล้วครองสติไม่ได้ ไม่รู้จะระบายความในใจกับใคร จึงได้พล่ามบรรยายมาทางวิทยุ บางคนหลับยามไม่พอกดคีย์ ไมโครโฟนค้าง ทำให้มีเสียงกรนออกอากาศมาด้วย บางคนตะโกนร้องเพลงลูกทุ่ง ออกอากาศมาเป็ฯการแก้เหงา ก็มีที่จัดได้ว่าโชคดี คือ ศูนย์ควบคุมข่ายตำรวจแห่งชาติ "ปทุมวัน" กล่าวคือ ในยามดึกวันหนึ่ง พนักงานวิทยุคนหนึ่งได้ระบายความเดือดร้อน เนื่องจากหิวโหยไม่สามารถ หาอาหารรับประทานได้เพราะต้องเข้าเวร เมื่อทรงรับฟังแล้วทรงสงสาร จึงได้รับสั่งทางวิทยุกับผู้เขียนในฐานะที่เป็น ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นโดยตรงว่า "โปรดเกล้าฯ พระราชทานตู้เย็นเพื่อ เก็บอาหารสำรอง สำหรับเวรยามดึกให้ 1 ตู้"



ที่มา 1.http://board.dserver.org/r/rojana7/00000021.html
2.http://www.naturethai.org/community/view.php?No=130


















เป็นสุขท่ามกลางความทุกข์

เป็นสุขท่ามกลางความทุกข์พระไพศาล วิสาโล

คน เรามักอยู่ด้วยความรู้สึก คือปล่อยให้ความชอบ-ไม่ชอบมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของตน โดยที่ความชอบ-ไม่ชอบนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามันให้ความสุขและสะดวกสบายแก่ตน หรือไม่ อะไรก็ตามที่ให้ความสะดวกสบายหรือความสุขแก่ตน ก็อยากได้อยากหามาครอบครอง ส่วนมันจะเป็นประโยชน์หรือเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ไม่สนใจ ในทางตรงข้าม อะไรก็ตามที่ทำให้ตนสะดวกสบายน้อยลงหรือเกิดความยากลำบาก ก็อยากผลักไสออกไป ไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย แม้มันจะมีประโยชน์ก็ตาม เด็กจึงเลือกเที่ยวเล่นมากกว่านั่งทำการบ้าน ส่วนผู้ใหญ่ก็ชอบสุมหัวคุยกันหรือดูหนังฟังเพลงมากกว่าจะทำงานอย่างตั้งใจ
การปล่อยให้ความรู้สึกมาครอบงำชีวิตของตน แท้จริงก็คือการปล่อยให้อัตตามาครองใจ เพราะอัตตาไม่ได้สนใจอะไรนอกจากสิ่งที่จะตอบสนองความอยากได้ใคร่เด่นที่ไม่ เคยพอเสียที เจออะไรที่ไม่ถูกใจจึงโกรธแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาหรือมีประโยชน์ก็ตาม ดังนั้นแค่เจอไฟแดง รถติด ฝนตก เพื่อนร่วมงานไม่ทักทาย พ่อแม่แนะนำตักเตือน อัตตาก็ขุ่นเคืองใจแล้ว ถ้าเราปล่อยให้มันครองใจ เราก็ต้องทุกข์ไม่หยุดหย่อน เพราะชีวิตนี้ทั้งชีวิตเราย่อมต้องเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเราอยู่เสมอ ถึงแม้จะร่ำรวย ยิ่งใหญ่ หรือมีอำนาจมากมายเพียงใด เราก็ไม่สามารถบัญชาหรือควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเราได้ตลอดเวลา
ความจริงที่ทุกชีวิตหลีกหนีไม่พ้นก็คือ ต้องประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา และพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนา อยู่เป็นนิจ รวยแค่ไหนก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย เก่งแค่ไหนก็ต้องมีวันประสบความล้มเหลว ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องพลัดพรากจากคนรักไม่ช้าก็เร็ว คนที่ปล่อยให้ชีวิตจิตใจเป็นไปตามความรู้สึก ย่อมหาความสุขได้ยาก
แต่คนเราไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปตามเหตุการณ์ที่มากระทบเสมอไป หากเราเป็นอยู่ด้วยปัญญา ไม่เอาความรู้สึกเป็นใหญ่ มีสติรู้เท่าทันอัตตา ไม่ปล่อยให้มันครองใจ เราก็สามารถทำใจให้เป็นปกติได้แม้ในยามที่ประสบกับสิ่งที่เป็นลบในสายตาของ คนทั่วไป เช่น เมื่อถูกตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ หากเราปล่อยให้อัตตาเป็นใหญ่ในใจ เราก็จะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า “กูถูกเล่นงาน” หรือ “กูเสียหน้า” ผลคือเกิดความโกรธและตอบโต้กลับไป ซึ่งอาจทำให้ถูกวิจารณ์กลับมาหนักขึ้น ในทางตรงข้าม หากเรามีสติทันท่วงทีและสามารถดึงปัญญาออกหน้า เราก็จะหันมาใคร่ครวญว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ มีประโยชน์เพียงใด มันอาจช่วยให้เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเองชัดขึ้น หรือไม่ก็เผยให้เห็นตัวตนของผู้พูด ทำให้เรารู้จักเขามากขึ้น ผลคือนอกจากเราจะฉลาดมากขึ้นแล้ว จิตใจยังไม่ร้อนรุ่มหรือทุกข์เพราะคำวิจารณ์นั้น
หากเราดำเนินชีวิต ทำกิจวัตรประจำวัน และทำงานด้วยความใส่ใจ โดยไม่มุ่งหวังเพียงแค่ทำงานให้เสร็จหรือให้ดีเท่านั้น หากยังถือว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจหรือขัดเกลาตนเองไปด้วย เช่น ฝึกให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ลดละความเห็นแก่ตัว บ่มเพาะเมตตากรุณา ก็จะเป็นการเปิดทางให้ปัญญาเข้ามาแทนที่อัตตา นั่นหมายความว่าเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา หรือพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนา เราก็สามารถรับมือกับมันได้โดยไม่ทุกข์
ดังได้กล่าวแล้วว่าเราไม่สามารถควบคุมหรือจัดการให้เกิดสิ่งดี ๆ กับเราได้ตลอดเวลา แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดสิ่งแย่ ๆ กับเรา เราสามารถเลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของเราได้มากน้อยแค่ ไหน รวมทั้งเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย เช่น จะใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่เราอย่างไร แต่ทั้งหมดนี้เราจะเลือกได้ก็ต่อเมื่อมีสติและปัญญา ซึ่งเกิดจากการสะสมในชีวิตประจำวันและการฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
ขอให้สังเกตว่าเมื่อมีสิ่งแย่ ๆ (หรือสิ่งที่เราไม่ชอบ)เกิดขึ้นกับเรา สิ่งนั้นไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจของเราเองที่วางไว้ไม่ถูก ทันทีที่ได้รับการบอกเล่าจากหมอว่าเป็นมะเร็ง หลายคนถึงกับล้มทรุด หมดเรี่ยวแรง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นมะเร็งแค่ขั้นที่ ๑ หลายคนทำงานด้วยความทุกข์ ไม่ใช่เพราะว่างานที่ได้รับนั้นเป็นงานยาก แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากทำงานชิ้นนั้น หรือเพราะไม่พอใจที่เจ้านายเอางานของคนอื่นมาให้เขาทำ ฯลฯ บางคนก็ทุกข์เพราะเพื่อน ๆ ทิ้งงานให้เขาทำคนเดียว ใจที่เอาแต่บ่นว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ?” “ไม่เป็นธรรม ๆ ๆ ๆ” ทำให้เขาทำงานด้วยความทุกข์ทรมานราวกับตกนรกทั้ง ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์
ตอนหนึ่งของรายการ “พลเมืองเด็ก” ที่ออกอากาศช่องทีวีไทย เด็ก ๓ คนได้รับมอบหมายให้ขนของขึ้นรถไฟ บังเอิญตอนนั้นมีการถ่ายทอดสดการชกของสมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิก เด็กชาย ๒ คนจึงทิ้งงานไปดูโทรทัศน์ข้างสถานีรถไฟ พิธีกรจึงถามเด็กหญิงซึ่งตั้งหน้าตั้งตาขนของอยู่คนเดียวว่า เธอคิดอย่างไรที่เพื่อนทิ้งงาน เธอตอบว่าไม่เป็นไร เห็นใจทั้งสองคนเพราะนาน ๆ จะได้ดูสมจิตรชกมวย พิธีกรถามต่อว่า เธอไม่โกรธหรือไม่คิดไปด่าว่าเพื่อนหรือที่ปล่อยให้เธอทำงานอยู่คนเดียว เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูก็เหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขาหนูก็เหนื่อยสองอย่าง”
คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยกายด้วย เหนื่อยใจด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกของตัว ปล่อยให้ความโกรธหรือหงุดหงิดทำร้ายจิตใจของตน จึงทำงานอย่างไม่มีความสุข จริงอยู่การทิ้งงานให้เราทำคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่หากใจเรายึดติดกับ “ความถูกต้อง” หรือ “ความน่าจะเป็น” โดยไม่รู้จักวางเลย ความยึดติดนั้นเองจะกลับมาบั่นทอนทำร้ายจิตใจของเรา เขาไม่ควรทิ้งงานให้เราทำก็จริง แต่นั่นก็ไม่ควรเป็นเหตุผลที่เราจะต้องหันมาซ้ำเติมตัวเอง เหนื่อยใจนั้นไม่มีใครทำให้เราได้ นอกจากเราเอง
เหตุการณ์แย่ ๆ นั้นทำอะไรเราไม่ได้หากเราไม่ปล่อยให้มันเข้ามาเล่นงานเราถึงจิตถึงใจ แม้แต่ความเจ็บป่วย ก็ทำให้กายทุกข์เท่านั้น แต่ทำใจให้ทุกข์ไม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะยอมปล่อยให้ใจทุกข์ไปกับกายด้วย อันที่จริงนอกจากเราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้มันมามีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจเรา แค่ไหนแล้ว เรายังเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย เช่น เมื่อเจ็บป่วยเราเลือกได้ว่าจะดูแลรักษาตัวอย่างไรดี แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เรายังทำได้มากกว่านั้น เช่น ใช้มันให้เป็นประโยชน์ หรือหาประโยชน์จากมัน
บางคนพบว่าเจ็บป่วยก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้พักจากการทำงานที่หนักอึ้ง ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว นอนอ่านหนังสือที่ชอบ หรือหันมาทำสมาธิภาวนา หลายคนถึงกับอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” เพราะมะเร็งทำให้เขาค้นพบความสุขที่แท้อันได้แก่ความสงบทางใจ ผลก็คือชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
หากเรามีสติและปัญญา ไม่มัวปล่อยใจจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ หรือเอาแต่บ่นว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน” เราจะพบว่าเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ไม่พึงปรารถนานั้นมีข้อดีอยู่เสมอ บางคนพบว่าการตกงานทำให้เขามีเวลาอยู่กับพ่อแม่และทดแทนพระคุณท่านได้มาก ขึ้น ธุรกิจที่ล้มละลายผลักดันให้หลายคนเข้าวัดและค้นพบจุดหมายที่แท้ของชีวิต อกหักหรือแยกทางจากคนรักก็ช่วยให้หลายคนพบกับชีวิตที่อิสระและเป็นตัวของตัว เอง

นอกจากประโยชน์ในเชิงรูปธรรมแล้ว เหตุการณ์แย่ ๆ ทั้งหลายยังมีข้อดีอย่างน้อย ๒ ประการ ได้แก่
๑. สอนใจเรา กล่าวคือสอนให้เราตระหนักถึงความจริงของชีวิตซึ่งมีความผันผวนปรวนแปรเป็น นิจ เช่น ของหายก็สอนใจเราว่าความพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราหรือเป็นของเราได้อย่างยั่งยืน การถูกตำหนิก็สอนใจเราว่า สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน ไม่มีใครที่จะได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว ไม่ว่าดีแค่ไหนก็ยังถูกนินทา
๒. ฝึกใจเรา เช่น ฝึกใจให้ไม่ประมาท ระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้นอีก หรือฝึกใจให้ปล่อยวางเพื่อรับมือกับเหตุร้ายที่แรงกว่าในอนาคต (ถ้าโทรศัพท์หายยังปล่อยวางไม่ได้ แล้วจะทำใจได้อย่างไรเมื่อต้องสูญเสียคนรัก เช่น พ่อแม่ ลูกเมีย ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่) หรือฝึกใจให้มั่นคงเข้มแข็ง เพราะเราจะต้องเจออะไรต่ออะไรอีกมากมายในวันข้างหน้า อีกทั้งยังฝึกให้เราฉลาดและมีประสบการณ์มากขึ้น (อย่าลืมว่าคนเราเรียนรู้จากความล้มเหลวได้มากกว่าความสำเร็จ)
ความฉลาดในการรับมือกับเหตุการณ์แย่ ๆ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้จากห้องเรียนหรือจากตำรา แต่เกิดได้เพราะเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันและจากการทำงาน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าดีหรือร้าย บวกหรือลบ หากไม่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ความรู้สึก คือชอบหรือไม่ชอบ เพลิดเพลินยินดีหรือคร่ำครวญโกรธแค้น แต่มีสติรู้ทันอารมณ์ความรู้สึก และหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นแก่เราเสมอ หรืออย่างน้อยก็ทำให้เห็นช่องทางที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคได้
ถ้าทำเช่นนั้นได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา แม้จะเลวร้ายเพียงใด จะมิใช่สิ่งที่ยัดเยียดความทุกข์หรือความปราชัยให้แก่เรา แต่จะกลายเป็นสิ่งที่ฝึกฝนจิตใจเราให้มีสติ ปัญญา และลดละอัตตา ช่วยให้เรามีชีวิตที่โปร่งเบา สงบเย็น และเป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบได้เป็นลำดับ จนในที่สุดก็สามารถอยู่เหนือความทุกข์หรือความผันผวนปรวนแปรทั้งปวงได้ นี้คือสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของเราทุกคน และควรเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตเราด้วย
Categบันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ที่มีค่าและมีความสุข
ories:
prasitporn

10 พฤติกรรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว
วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ1
0. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองรู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี.โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

โยคะ


การฝึกโยคะบางท่ามีผลช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ บางท่าช่วยบำบัดรักษาอาการป่วยจากโรคกระเพาะและอีกนานาสารพัดโรคซึ่งต้องฝึกปฏิบัติเป็นประจำเท่านั้นจึงจะได้ผลดีหากจะกล่าวถึงผลดีที่จะได้จากการฝึกโยคะก็พอจะยกมาเป็นตัวอย่างได้ดังต่อไปนี้ ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี ทำให้การเคลื่อนไหวสง่างามทุกท่วงท่าช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี สมองปลอดโปร่งเพราะมีโลหิตไปหล่อเลี้ยงช่วยให้ต่อมต่างๆทำงานได้ดีเพราะได้รับการกระตุ้น เช่น ต่อมไทรอยด์ต่อมพาราไทรอยด์ช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆกระตุ้นเซลล์ทั่วร่างกายให้สดชื่นแจ่มใสและมีชีวิตชีวาบำบัดรักษาอาการเจ็บไข้ไม่สบายอันเกิดจากโรคต่างๆ เช่น โรคทางจิตประสาทโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระเพาะอาหารช่วยบริหารปอด และหัวใจให้แข็งแรงช่วยลดไขมันเฉพาะส่วน ทำให้น้ำหนักคงที่ถ้าฝึกเป็นประจำ และมีการควบคุมอาหารที่ถูกต้องช่วยลดความเรียด ทำให้นอนหลับสบายรักษาโรคริดสีดวงทวารกำจัดอาการท้องผูก และอาหารไม่ย่อยช่วยรักษาและป้องกันโรคหอบหืด และโรคภูมิแพ้ต่างๆรักษาอาการปวดคอ ปวดหลัง และปวดข้อต่างๆป้องกันโรคเส้นเลือดขอดรักษาอาการหวัด เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบรักษาโรคไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโตรักษาโรคสมรรถภาพทางเพศเสื่อมช่วยบรรเทาอาการโรคหลอดลมอักเสบ ป้องกันมดลูกหย่อนยานช่วยบรรเทาอาการปวดท้องก่อนมีรอบเดือนลดการยึดติดของข้อต่างๆรักษาโรคลมชัก และลมบ้าหมูช่วยให้กระดูกสันหลังยืดหยุ่นได้ดีช่วยให้ข้อมือ ขา และข้อเท้าแข็งแรงช่วยให้สมาธิดี ความจำดี อารมณ์สุขุมเยือกเย็นช่วยให้สุขภาพจิตดี ขจัดอาการฟุ้งซ่านช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะช่วยให้ตับทำงานได้ดีช่วยนวดอวัยวะส่วนท้องช่วยบรรเทาอาการเบื่ออาหาร และช่วยล้างพิษช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ผิวเนื้อตึงกระชับ ไม่หย่อนยานง่ายช่วยชะลอความชรา และช่วยเสริมสร้างพลังชีวิต นอกจากผลดีที่จะได้รับดังตัวอย่างข้างต้นแล้ว การฝึกโยคะยังให้ประโยชน์อีกมากต่อสุขภาพจิต และประสิทธิภาพในการทำงานของสมองด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผลดีทั้งปวงที่ร่างกายจะได้รับนั้นย่อมส่งผลต่อศักยภาพการดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วย ข้อควรปฏิบัติในการฝึกโยคะโยคะอย่างง่ายๆที่เหมาะสำหรับการฝึกทุกๆวัน เพื่อบริหารร่างกายและสร้างพลังแก่สุขภาพนั้นส่วนใหญ่จะเป็น “ท่าอาสนะ” ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ให้ปฏิบัติตามได้ง่ายๆเนื่องจากท่าอาสนะเป็นท่าบริหารที่ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวอันนิ่มนวล เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาร่างกายให้เกิดความสมดุลทางสรีระและกล้ามเนื้อต่างๆ การเตรียมตัวและเตรียมสถานที่ให้ถูกต้องและเหมาะสม จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฝึกโยคะประจำวันเวลาเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกโยคะคือเวลาเช้าแต่เพื่อความสะดวกสำหรับวิถีชีวิตของคนในยุคสมัยนี้ ผู้ฝึกจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเวลาที่กำหนดตายตัวอาจฝึกทุกๆเช้าวันหยุด แต่วันเรียนหรือทำงานก็ฝึกในช่วงค่ำๆก็ได้ (ช่วงบ่ายอากาศร้อนอาจไม่เหมาะกับการฝึก)ความจริงแล้วโยคะแนวใหม่สามารถนำไปประยุกต์เป็นการบริหารร่างกายที่สะดวกและง่ายดายได้ ผู้ฝึกสามารถเล่นโยคะได้ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่โต๊ะทำงาน ที่สาธารณะทั่วไป หรือแม้แต่นั่งหรือยืนอยู่บนรถแต่สำหรับระยะเวลาในการฝึกโยคะแต่ละครั้งนั้น ควรฝึกให้ได้อย่างต่ำ ครั้งละ 30 นาทีสำหรับผู้ที่มีเวลาสามารถฝึกเต็มที่ได้ ครั้งละ 1 ชั่วโมง 30 นาทีหรือถึง 2 ชั่วโมงฝึกโยคะอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือฝึกวันละ 20 - 30 นาที ทุกๆวันก็ได้เสื้อผ้าชุดที่เหมาะสมจะสวมใส่ในการฝึกโยคะคือเสื้อผ้าชุดลำลองที่มีเนื้อผ้านุ่มเบาสบาย มีความหลวมพอประมาณ เช่น เป็นชุดผ้ายืดทั้งตัวเพื่อให้ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างสะดวกสบายที่สุดอุปกรณ์เสริมในการฝึกโยคะควรมีอุปกรณ์เสริมบางอย่างเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวก เช่นผ้าขนหนูผืนใหญ่ สำหรับปูรองนั่งในระหว่างฝึกผ้าขนหนูผืนเล็กหรือไม้ไผ่ สำหรับช่วยในการฝึกบางท่านอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำสำหรับการเตรียมตัวฝึกโยคะอีกหลายข้อที่ควรใส่ใจ ดังนี้

1. ควรเลือกทำเลดีๆในการฝึกโยคะ เช่น บริเวณระเบียงบ้านที่มีลมพัดผ่านเย็นสบาย มีเสียงนกร้อง และมีทิวทัศน์ร่มรื่นงดงามด้วยต้นไม้ อาจฝึกในสวน ห้องนอน หรือห้องรับแขก และควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก แต่ถ้าจำเป็นต้องฝึกในห้องแอร์ก็สามารถทำได้ซึ่งไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด
2. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนฝึกโยคะ อย่าลืมทำความสะอาดช่องปาก ฟัน หู และรูจมูก
3. ถ้าต้องการเปิดเพลงกล่อมระหว่างการฝึก ควรเลือกเพลงบรรเลงเบาๆ อย่าเปิดเพลงที่มีคำร้อง หรือมีจังหวะสนุกสนาน เพราะการฝึกโยคะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
4. กินอาหารให้เรียบร้อยก่อนฝึกโยคะประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง
5. ถ้ามิได้ฝึกโยคะตามลำพัง ควรฝึกอย่างเงียบๆ ไม่ควรชวนเพื่อนพูดคุย หรือหยอกเย้ากันในระหว่างการฝึก
6. ไม่สวมเครื่องประดับใดๆในการฝึก รวมทั้งแว่นสายตาด้วย
7. สตรีในช่วงที่มีรอบเดือน ควรงดการฝึกโยคะ
8. สตรีที่มีครรภ์อ่อนๆ แต่ต้องการฝึกโยคะเพื่อสุขภาพควรขอคำแนะนำจากแพทย์ก่อน
9. ผู้ที่มีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคไขข้อ ไม่ควรฝึก10. ไม่ควรออกกำลังกายประเภทอื่นๆ ก่อนหรือหลังการฝึกโยคะในทันที เมนูสุขภาพสำหรับผู้ฝึกโยคะนอกจากการฝึกโยคะเป็นประจำแล้ว

การดูแลเรื่องอาหารกการกินก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการดูแลสุขภาพปัจจุบันผู้ที่นิยมฝึกโยคะในยุโรปและอเมริกามักจะหันมากินอาหารมังสวิรัติกันมากแต่ถ้าไม่สามารถจะกินผัก ผลไม้ และธัญพืชได้ ก็ไม่เป็นไรเพราะอาหารดีๆที่มีคุณค่าต่อสุขภาพนั้นยังมีอีกมากมาย ถ้าเรารู้จักเลือกสรรและกินให้เป็นอาหารที่จัดมานี้เป็นเมนูสุขภาพ ส่วนใหญ่จึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และจัดเป็นเมนูไดเอตที่เหมาะสำหรับการลดความอ้วน และการควบคุมน้ำหนักอีกด้วยข้าวกล้องข้าวกล้องอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารนานาชนิด ที่มีคุณค่าสูง ช่วยบำบัดและยังป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงและไม่อ้วนด้วย เราสามารถหุงข้าวกล้องปนกับข้าวอื่นๆ ได้หลายชนิดเพื่อเพิ่มรสชาติและเพิ่มคุณค่า หรืออาจหุงข้าวกล้องกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ได้ต้มๆนึ่งๆหลีกเลี่ยงอาหารจานทอดที่เต็มไปด้วยน้ำมัน หันมาเลือดกินแต่อาหารที่ปรุงด้วยวิธีต้มๆนึ่งๆ มารพัดเมนูแกงจืดและต้มยำต่างๆที่ไร้กะทิ กินผักต้ม ผักลวก หรือปลานึ่ง เป็นประจำจะทำให้สุขภาพดีหากต้องการปรุงอาหารจานผัดต่างๆก็ควรใช้น้ำมันแต่น้อยงดอาหารแปรรูปของหมักดอง อาหารกระป๋อง และอาหารแปรรูปต่างๆเช่น แหนม กุนเชียง ไส้กรอก เบคอน ฯลฯ เหล่านี้ไม่ใช่อาหารสุขภาพควรหลีกเลี่ยงหรือกินแต่น้อยเนื้อสัตว์ติดมันแม้ร่างกายจะต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่เนื้อสัตว์ที่ติดมันก็ทำให้อ้วน และยังเพิ่มโคเลสเตอรอลได้อย่างไม่รู้ตัว พยายามงดกินเนื้อสัตว์ติดมัน และลองฝึกนิสัยการกินอาหารให้น้อยลง(ยกเว้นปลา และอาหารทะเล) เพราะความจริงแล้วเนื้อสัตว์นั้นย่อยยาก และเราสามารถได้สารอาหารต่างๆ อย่างครบถ้วนจากธัญพืชต่างๆได้ เช่นกันธัญพืชต่างๆข้าวโอ๊ต ขาวสาลี รำข้าว ถั่ว งา ซีเรียล และธัญพืชต่างๆล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุนานาชนิดที่เป็นประโยชน์อย่างสูงต่อร่างกาย จึงควรจัดให้มีอาหารจำพวกธัญพืชบ้างในเมนูแต่ละวัน