มิกกี้

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของการเดิน


การเดิน..เป็นวิถีธรรมชาติของร่างกาย..ที่ธรรมชาติประทานมาให้แต่กำเนิด ผู้ใดหลงลืมธรรมชาติด้วยการเดินน้อย กินมาก ร่างกายก็มักจะไม่ปลื้ม อยากกินมากนักเหรอเจอ..อ้วนซะเลย นั่งมากใช่ไหม..พุงโตเกินเกณฑ์ ไม่ชอบเดินเอาแต่นั่งๆนอนๆ.. เจ้าจะได้นอนตลอดไป เป็นของแถม แบบไหนที่ชอบร่างกายจัดให้..เบาหวาน ความดัน หัวใจ กระดูกเสื่อม แต่หากใครเดิน น้อยแต่ออกกำลังกายบ้าง..เช่นวันเว้นวัน ร่างกายก็ยังพออภัย เนี่ย..คือ..สิ่งที่ธรรมชาติจัดให้...ตามการกระทำหรือที่ภาษานัก วิชาการเรียกว่า...ตามพฤติกรรมที่เราทำ..ทำแบบไหนได้แบบนั้นเลย

เรามาดูนักวิชาการพูดกันบ้าง ดร.บุษบา สงวนประสิทธ์ จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวไว้ในหนังสือ เล่มน้อยของกรมอนามัย เรื่อง เดิน เดิน วันละน้อย แล้วชีวิตจะเปี๊ยนไป๋ ที่จัดพิมพ์ไว้เมื่อ 2548 ว่า..
“การออกกำลังที่ถูกต้องและ เพียงพอเป็นปัจจัยที่ช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคไร้เชื้อ หรือโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็งบางชนิด กระดูกบางหรือผุ ภูมิแพ้ และช่วยลดความวิตกกังวล ทำให้สุขภาพจิต คุณภาพชีวิตและชีวิตสังคมดีขั้น”

ชัดเจนว่า..ถ้าไม่ออกกำลังกาย หรือใช้ชีวิตอย่างคืนสู่ธรรมชาติโรคทั้งหลายที่อาจารย์บุษบาว่ามา คุกคามเราแน่..โดยเฉพาะ เรื่องของความดันโลหิตสูงที่เราพูดต่อเนื่องกันมาตลอด พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย...เพื่อเป็นการป้องโรคโดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูงมิให้มาเยือน เรามาเดินกันเถอะ เพราะว่าการเดินเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดแล้ว เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ต้องหาอุปกรณ์เสริมให้เสียเงินเสียทอง ที่ไหนๆ ก็ทำได้ ความปลอดภัยสูง ไม่ต้องเขิน ในคนที่ไม่เคยออกกำลังหรือเริ่มใหม่ๆบางคน เขินอายที่จะออกกำลังกายก็จะสบายขึ้น

คนที่รู้ตัวแล้วว่าป่วยหรือมีความดันโลหิตสูง ก็ไม่ต้องกังวลเพราะว่าการเดินเป็นการออกกำลังกายที่เราสามารถควบคุมความเร็วให้ เหนื่อยมากเหนื่อยน้อยได้สะดวกด้วยตัวเราเอง เพี่อความแน่ใจคนที่เป็นความดันโลหิตสูงอยู่จะถามหมอประจำตัวดูก่อนก็ได้ว่า “ เดินออกกำลังกายได้หรือไม่” และถ้าไม่มีโรคประจำตัว ก็ต้องรู้ตัวว่าไม่ได้ออกกำลังกายมานานกี่ปีแล้ว ถ้านานปีมากก็ต้องเริ่มจากน้อยๆ ก่อน แนะนำง่ายๆ อย่างนี้นะ

วันที่ 1-7 เดินสัก 3,000 – 4,000 ก้าว หรือ 1 กิโลเมตร
(คำนวนว่า 1 เมตรเดินได้ 3-4 ก้าว)
วันที่ 8-14 เดินสัก 5,000- 6,000 ก้าว หรือ 1.5 กิโลเมตร
วันที่ 15-21 เดินสัก 7,000 - 8,000 ก้าวหรือ 2 กิโลเมตร

ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ อย่างนี้จะทำให้ร่างกายค่อยๆปรับตัว ปรับความแข็งแรงขึ้นโอกาสของความดันโลหิตสูงจะสูงขึ้นก็จะน้อยลง ความดันโลหิตที่สูงอยู่ก็จะค่อยๆ ปรับลง แต่องค์ประกอบสำคัญเรื่องการไม่กินหวาน มัน เค็ม และไม่กินมาก รวมถึงคุมอารมณ์ อย่าให้เครียดไว้ด้วย แต่ที่แน่ๆ ถ้าท่านเดินทุกวัน ก็ชวนลูกชวนหลานไปเดิน ครอบครัวก็จะอบอุ่น เจอเพื่อนๆ ที่เห็นหน้ากัน ประจำก็พูดคุย ทักทาย สูดอากาศ และเห็นธรรมชาติบ้าง ปัญหาอื่นๆ ก็จะลดตามไปด้วย นี่เป็นการ ออกกำลังกายแบง่ายๆ แต่ได้ของกำนันกลับคืนมา



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากศูนย์การเรียนรู้สุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ


วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำทับทิมป้องกันสมองเสื่อม


มุมสุขภาพ-กินดี’ สรรหาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมาปิดท้ายให้เข้าธีมของสัปดาห์ที่ว่ากันถึง ‘อาการสมองเสื่อม’ ซึ่งสามารถป้องกันด้วย ‘ทับทิม’ ผลไม้มากคุณค่า สีสันสวยงาม โดยคุณพล ตัณฑเสถียร ฟู้ดสไตลิสต์คนดัง สร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มแก้วเก๋ ชื่อ ‘Red Shooter’…

ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง

นอกจากทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก มีทั้ง
แตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วย

สรุปส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ....

  • ทับทิม
  • แตงโม
  • มะนาว
  • ส้ม
  • สับปะรด


ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่ ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที.


ข้อควรรู้เกี่ยวกับเนื้อร้าย 15 ประการ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับเนื้อร้าย 15 ประการ
1. ทุกคนมีเซลล์เนื้อร้ายอยู่ในร่างกาย เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่องมือทางการแพทย์จนกว่าจะมีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์ หากไปพบหมอ แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์เนื้อร้ายในร่างกายหลังจากการตรวจ นั่นแค่หมายความว่าเครื่องมือทางการแพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์เนื้อร้ายได้ เนื่องจากขนาดของเซลล์เนื้อร้ายยังไม่มากพอ หรือขนาดยังไม่ใหญ่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ
2. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์เนื้อร้ายก็จะถูกทำลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์เนื้อร้ายขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย
3. เมื่อคนไข้ถูกบ่งชี้ว่าเป็นเนื้อร้าย แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด โภชนาการไม่ดี กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม อาหาร หรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต
4. การเอาชนะเซลล์เนื้อร้าย สามารถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์เนื้อร้าย คือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์เนื้อร้ายจำเป็นต้องนำไปใช้อาหารที่เซลล์เนื้อร้ายต้องการ
6. น้ำตาล เช่นน้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลเทียมเช่น Equal ให้ใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ใช้ในปริมาณที่น้อยมาก และเกลือมีสารจำเป็นที่เซลล์เนื้อร้ายนำไปใช้ ควรงด หรือทานในปริมาณน้อย
7. นม ควรดื่มน้ำนมถั่วเหลืองทดแทน
8. เซลล์เนื้อร้าย เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพที่เป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์มีแบคทีเรียใช้ฮอร์โมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นเนื้อร้าย
9. 80% ของผักและน้ำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญญาพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและน้ำผลไม้สดจะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เพราะเอนไซม์จะถูกทำลายที 40c
10. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ชอคโกแลต ที่มีคาเฟอีนสูง เปลี่ยนเป็นชาเขียวที่มีสารต้านเนื้อร้าย ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปาแบะเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่มีสภาพเป็นกรด
11. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมดจะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง
12. เซลล์เนื้อร้ายมีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์เนื้อร้ายได้ง่ายขึ้น
13. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์เนื้อร้าย เช่นวิตามินอี วิตามินซี
14. เซลล์เนื้อร้าย เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ ขมขื่น หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรักและให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชิวิต
15. เซลล์เนื้อร้ายไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึก ๆ จะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์เนื้อร้าย